คุณสมบัติเด่นของเพชร

 

1. คุณสมบัติพื้นฐาน

     อะตอมของเพชรมีโครงสร้างอะตอมที่ประสานกันอย่างแข็งแรงและอยู่ใกล้กันเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ เพชรจึงเป็นสสารธรรมชาติที่แข็งที่สุด ทำให้ทนทานต่อการขีดข่วนได้ดีกว่าวัสดุธรรมชาติอื่นๆ

     เพชรมีค่า 10 ในระดับความแข็งของ โมห์ ซึ่งจำแนกความแข็งจาก 1 ถึง 10 โดยที่ 10 คือความแข็งที่สุด พึงระลึกไว้ว่าระยะห่างระหว่างตัวเลขบนสเกลนั้นไม่เท่ากัน โดยเฉพาะระหว่าง 9 และ 10 ตัวอย่างเช่น เพชรมีความแข็งมากกว่าทับทิม 100 เท่า ซึ่งมีค่าความแข็งโมห์อยู่ที่ 9 เนื่องจากความแข็งที่เหนือกว่าของเพชร จึงเป็นค่าที่ประเมินค่ามิได้

     แม้ว่าเพชรจะมีความทนทานต่อรอยขีดข่วนและรอยถลอกเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่รอดพ้นจากการแตกหัก การบิ่น และการเผา เพราะในบางทิศทางของเพชร มีส่วนหนึ่งที่ระนาบพันธะนั้นอ่อนกว่าในทิศทางอื่นๆ เนื่องจากมีพันธะน้อยกว่าต่อหน่วยพื้นที่ หากเพชรถูกตีในจุดที่ถูกต้องด้วยแรงที่เหมาะสม เพชรสามารถแตกออกในทิศทางเหล่านี้ได้ตามระนาบผลึก ซึ่งเอกลักษณ์ของเพชรที่โดดเด่นมีดังนี้

 

อุตสาหกรรม-เพชร-cvd-ก้อบดิบ-ยังไม่เจียระไน

 

2. ประกาย (Brightness,Brilliance)

  เพชรเป็นอัญมณีที่มีความแวววาวของผิวและความหนาแน่นสูง ดังนั้นเมื่อแสงตกกระทบที่ผิว แสงบางส่วนจะเกิดการหะกเห แล้วสะท้อนกลับเข้าสู่ตาเรียกว่า ประกาย และแสงส่วนใหญ่จะส่องทะลุเข้าไปในเนื้อแล้วสะท้อนกลับออกมา ทั้งนี้แสงที่สะท้อนกลับมาไม่จำเป็นต้องเป็นสีขาว หากแสงจากปัจจัยภายนอกเป็นสีใด ประกายก็จะเป็นสีนั้น เช่น เราตรวจสอบเพชรในห้องที่ทาสีฟ้า  แสงที่ได้ก็จะเป็นประกายฟ้า เป็นเหตุผลที่ตามร้านเพชรส่วนใหญ่มักจะมีหลอดไฟโทนสีฟ้าติดตั้งอยู่ และยิ่งเพชรถูกเจียระไนและขัดผิวได้เรียบเนียนดี จะยิ่งส่งผลให้ประกายออกมามาก ทั้งสองจุดนี้สามารถใช้แยกเพชรแท้กับอัญมณีชนิดอื่นได้ด้วยตาเปล่า       

     American Gem Society (AGS) และ GIA นิยาม Brightness ว่าเป็นปริมาณของแสงสีขาวที่ส่งกลับมายังสายตา Brightness มักถูกเรียกว่า Brilliance ในเชิงการค้า อย่างไรก็ตาม Brilliance อาจมีความหมายกว้างกว่านั้น ตัวอย่างเช่น ในหนังสือ Diamond Grading ABC ของเธอ Pagel-Theisen กล่าวว่าคำว่า “brilliance” นั้นเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางแสงที่แตกต่างกันหลายอย่างในเพชรซึ่งมีความแวววาวภายใน ความแวววาวภายนอก (luster) ความแวววาวแบบกระจายตัว (fire) และประกายแวววาว (sparkle) ส่วน AGS นิยามBrillianceว่าเป็น “brightnessบวกกับcontrast” กล่าวอีกนัยหนึ่ง นอกจากจะดูสว่างแล้ว เพชรที่มี Brilliance ยังมีการกระจายแสงที่มาก ระหว่างบริเวณที่มืดและสว่างที่ตัดกัน

   เพชรมีศักยภาพในด้าน brightness มากกว่าอัญมณีธรรมชาติอื่นๆ เนื่องจากเพชรมีความแข็งมาก ความแวววาวแบบอะดาแมนทีน ไม่มีสี และดัชนีการหักเหของแสงสูง (ระดับที่แสงหักเหเมื่อส่องผ่านหิน) สัดส่วน การขัดเงา ความสะอาด สี และความใสของเพชรล้วนส่งผลต่อ brightness ของมัน เพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมเพชรถึงมี brightness มาก นั่นเพราะเมื่อลำแสงตกกระทบเพชรในมุมหนึ่ง เพชรจะแตกออกเป็นสองลำแสง รังสีส่วนหนึ่งจะสะท้อนออกจากผิวหินและอีกส่วนหนึ่งจะเข้าสู่เพชร

  

ดัชนี หักเห แสง สะท้อนแสง ประกาย กระจาย

 

3. การกระจายแสง (DISPERSION)

     แสงแดดที่ตามนุษย์เรามองเห็นเป็นแสงขาวนั้น ในความจริงแล้วแบ่งได้ถึง 7 สีเป็นแถบสีรุ้ง(แถบสีสเปกตรัม)เกิดจากสีที่มีความยาวคลื่นแสงที่ระดับแตกต่างกัน แสงที่ส่องผ่านอากาศทะลุผ่านเข้าไปในเนื้อเพชร (คุณสมบัติจะคล้ายแท่งปริซึม) แล้วสะท้อนกลับออกมาเป็นสีรุ้งให้ตามนุษย์เห็นเรียกว่า การกระจายแสง โดยมีความลาดเอียงระหว่างจุดที่แสงตกกระทบเพชร และ จุดที่สะท้อนออกเท่ากัน ด้วยเหตุผลนี้แม้ว่าเพชรทุกเม็ดจะมีค่ากระจายแสงเท่ากัน แต่การเจียระไนที่ขับให้เพชรมีความสวยงาม จึงขึ้นอยู่กับคุณภาพเหลี่ยมเป็นอย่างมาก

     การกระจายแสงของเพชรเป็นหนึ่งในอัญมณีที่โปร่งใสตามธรรมชาติสูงที่สุด (0.044 ความแตกต่างของดัชนีการหักเหของแสงระหว่างรังสีสีแดงและรังสีสีม่วงที่ส่องผ่านอัญมณี) แม้ว่าเพชรทุกเม็ดจะมีค่าการกระจายแสงเท่ากัน แต่ปริมาณไฟจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการเจียระไนเพชรเป็นสำคัญ

 

ดัชนี หักเห แสง สะท้อนประกาย กระจาย

 

4. การนำความร้อน

     ความสามารถในการถ่ายเทความร้อนของวัสดุเรียกว่า “การนำความร้อน” ค่าการนำความร้อนของเพชรสูงกว่าวัสดุอื่นใด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเพชรจึงรู้สึกเย็นเมื่อสัมผัส คุณสมบัตินี้ทำให้เพชรเป็นแร่ชั้นเยี่ยมในฐานะตัวระบายความร้อนสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การสำรวจอวกาศ และการใช้งานในอุตสาหกรรม

 

5. ความทนทานต่อสารเคมี

     เพชรที่ไม่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพมีความทนทานต่อสารเคมีทุกชนิด ทั้งยังสามารถต้มในกรดแล้วทำความสะอาดด้วยเครื่องทำความสะอาดไอร้อนได้ อัญมณีชนิดอื่นส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ การทำความสะอาดเพชรสกปรกให้สวยเหมือนใหม่นั้นทำได้ง่ายกว่าอัญมณีอื่นๆ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเพชรจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะสวมใส่ในชีวิตประจำวัน เมื่อพิจารณาจากลักษณะเฉพาะทั้งหมดของเพชรและข้อเท็จจริงที่ว่าเพชรเหล่านั้นดูดีเข้ากับเสื้อผ้าและอัญมณีชนิดอื่น ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เพชรกลายเป็นสิ่งที่มีมากที่สุดอัญมณีที่สำคัญและเป็นที่ต้องการ

 

6. การเรืองแสง (FLUOREDCENCE)

            เพชรเป็นอัญมณีที่มีคุณสมบัติเรืองแสงได้ ภายใต้แสงอัลตราไวโอเล็ต เกิดจากอิเล็กตรอนในเพชรเมื่อสัมผัสแสงอัลตราไวโอเล็ตจะดูดพลังงานและเกิดการสะสมไว้ในตัวมัน เกิดเป็นแสงสีต่างๆได้หลายสี เช่น ขาว ฟ้า ม่วง เหลือง ส้ม และเมื่อพลังงานหมด หรือ แหล่งกำเนิดถูกหยุดตัวลง อิเล็กตรอนก็จะค่อยๆคลายพลังงานลงกลับเป็นสีเดิม เพชรที่มีการเรืองแสงที่มาก เมื่อสวมใส่บางครั้งเราจะรู้สึกได้ว่ามีความขุ่นมัวกว่าเม็ดอื่น หรือเม็ดที่มีการเรืองแสงสีเหลืองก็จะส่งผลให้รู้สึกเหลืองกว่าเม็ดอื่น ส่วนเม็ดที่สีฟ้าจะส่งผลในด้านดีมากกว่าเนื่องด้วยทำให้เพชรมีประกายที่สีฟ้านั่นเอง

            อย่างไรก็ดีเพชรการที่เพชรเม็ดนั้นๆมีการแสดง  FLUOREDCENCE มักไม่เป็นที่นิยมในท้องตลาดและส่งผลให้ราคาต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็นราวๆ 5-10%จากเม็ดที่ไม่แสดงคุณสมบัตินี้ (สามารถอ่านบทความ เพชรคืออะไร&มาจากที่ไหน เพิ่มเติมได้ที่ลิ้งนี้)

 

เพชร-ฟลูออเรสเซนต์-fluorescens-ฟ้า-น้ำเงิน

เลือกชมเพชร CVD (Lab Grown Diamond) และ เครื่องประดับของเราได้ที่นี่

ผู้เขียนบทความ

ขออภัย! ไม่สามารถคัดลอกข้อความได้