สารบัญเนื้อหา
วิธีแยกดู เพชรธรรมชาติสีแฟนซี กับ Lab Grown diamond
ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน วิธีการตรวจสอบที่แม่นยำและใช้ได้ผลดีส่วนใหญ่นั้นต้องตรวจสอบกับเพชรที่มีขนาด 10 ตังค์ขึ้นไป มักให้ผลลัพธ์ที่ไม่คงที่กับการตรวจสอบเพชรขนาด 10 ตังค์ และหากเป็นไซส์ต่ำกว่า 5 ตังค์จะแทบไม่สามารถสรุปผลลัพธ์ได้เลย และ ยิ่งยากกว่าหากเพชรนั้นถูกฝังลงบนเครื่องประดับเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดีเรายังพอจะสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ด้วยวิธีดังนี้
การแยกดูด้วยหลอดฟลูออเรสเซนต์
วิธีการโฟโตลูมิเนสเซนซ์ เป็นวิธีที่ทำให้เราสามารถระบุเพชรที่ปลูกในห้องปฏิบัติการได้ ไม่ว่าจะเป็นเพชรร่วง หรือ ถูกฝังลงบนตัวเรือนแล้ว แม้ว่าจะเม็ดจะมีขนาดเล็กได้ค่อนข้างรวดเร็วและแม่นยำ เบื้องต้นเราต้องมีเครื่องฉายหลอดฟลูออเรสเซนต์แบบ 2 หลอด ซึ่งแต่ละหลอดจะให้กำเนิดแสงยูวีที่มีความยาวคลื่นต่างกัน
- Long wave ความยาวคลื่น 365 นาโนเมตร (การเรืองแสงแบบคลื่นยาว)
- Short wave ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร (การเรืองแสงแบบคลื่นสั้น)
ผลลัพธ์จากการฉายแสงของเพชรจากห้องปฏิบัติการจะแตกต่างจากเพชรธรรมชาติ ความแตกต่างนี้สามารถระบุได้เสมอที่ผิวนอกด้วยตาเปล่าไม่จำเป็นต้องดูภายในเนื้อ ซึ่งช่วยให้ระบุได้ง่ายขึ้นมาก อย่างไรก็ดีการเรืองแสงนี้อาจเรืองแสงได้เพียงเล็กน้อยในบางเม็ดทำให้สังเกตุเห็นได้ค่อนข้างยาก จะเป็นการดีกว่าหากเรามีกล้องขยายกำลังสูงเพื่อช่วยให้สังเกตุได้ง่าย จากประสบการณ์ของผู้เขียน การปิดไฟให้ห้องมืดที่สุดโดยให้มีแหล่งกำเนิดแสงเฉพาะหลอดตรวจสอบจะทำให้มองเห็นได้ง่ายขึ้นมาก
เรื่องที่สำคัญที่สุดคือหลอดฟลูออเรสเซนต์คอนข้างอันตรายต่อผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้น ควรสวมถุงมือเสมอ และงดเว้นการตรวจสอบเป็นเวลานาน
1. YELLOW LAB-GROWN DIAMONDS
เพชรสีเหลืองนั้นเป็นเพชรที่ถูกผลิตจากห้องปฏิบัติการมากที่สุด และ ผลผลิตที่ได้มีกมีตำหนิน้อย เนื้อค่อนข้างสะอาด ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะดูจากตำหนิในเนื้อ เพชรสีเหลืองนั้นถูกผลิตขนาด 1-2 ตังค์ ออกมาเป็นจำนวนมากโดยส่วนใหญ่ถูกผลิตในจีน ทำให้เล็ดลอดการตรวจสอบจากเครื่องขนาดใหญ่บางรุ่นได้ง่าย
วิธีแยก
- เพชรธรรมชาติ จะเรืองแสงด้วยหลอด LW มากกว่าเรืองแสงด้วยหลอด SW
- Yellow Lab grown diamond จะเรืองแสงด้วยหลอด SW มากกว่าเรืองแสงด้วยหลอด LW
2. BLUE LAB-GROWN DIAMONDS
เพชรที่ปลูกในห้องปฏิบัติการสีน้ำเงินมักมีตำหนิเยอะ ไม่ค่อยสะอาดเท่าใดนัก ด้วยปริมาณไนโตรเจนที่ต่ำทำให้เนื้อของผลผลิตค่อนข้างมีมิลทิน ส่งผลให้การเรืองแสงภายใต้หลอด SW นั้นมากกว่าหรือเท่ากับการเรืองแสงด้วยหลอด LW และ บางเม็ดนั้นจะเกิดการเรืองแสงได้ เพชรธรรมชาติ สีน้ำเงิน(ประเภท IIb) ก็มีโบรอนเช่นกันและแสดงพฤติกรรมเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม เพชรธรรมชาติสีน้ำเงิน (ประเภท la) ที่ปรับปรุงสี (โดยกระบวนการแผ่รังสีอิเล็กตรอน) จะยังคงแตกต่างจากเพชรจากห้องปฏิบัติการคือ ให้การเรืองแสงภายใต้หลอด LW ที่มากกว่าหรือเท่ากับการเรืองแสงด้วยหลอด SW
วิธีแยก
- เพชรธรรมชาติ จะมีการเรืองแสง ปานกลาง-มาก และ จะเรืองแสงด้วยหลอด LW ใกล้เคียงกับการเรืองแสงด้วยหลอด SW และ การเรืองแสงมักมีสี ขาว ฟ้า เหลือง
- Blue Lab grown diamond จะมีการเรืองแสงน้อย จะเรืองแสงด้วยหลอด SW มากกว่าหรือเท่ากับเรืองแสงด้วยหลอด LW การเรืองแสงมักมีสี ขาว ฟ้า เขียว หลังจากปิดไฟอาจมีการอมแสงไว้ที่เม็ดเพชร และ อาจมีตำหนิเป็นเศษโลหะปนเปื้อนในเนื้อเพชรได้
3. PINK LAB-GROWN DIAMONDS
เพชรสีชมพูเป็นเพชรที่ปลูกในห้องปฏิบัติการโดยการผ่านการฉายรังสีอิเล็กตรอนตามด้วยการหลอม โครงสร้างการเติบโตนั้นไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในเพชรที่ปลูกในห้องปฏิบัติการสีชมพู เนื่องจากเพชรจะมีการเรืองแสงสีส้มที่เข้มมาก ซึ่งเกิดจากประบวนการการหลอมหลังจากการแผ่รังสีอิเล็กตรอน เพชรสีชมพูที่ปลูกในห้องปฏิบัติการต่างจากเพชรธรรมชาติโดยจะไม่แสดงการเรืองแสงสีเขียวหรือฟ้า ซึ่งหากโชคดีเราจะเห็นเศษโลหะจากกระบวนการผลิตหลงเหลือไว้ให้ตรวจสอบได้
การเรืองแสงสีเขียวนั้นเกิดขึ้นจากการปรับปรุงสีในเพชรธรรมชาติสีชมพูเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเพชรธรรมชาติที่ผ่านการ Treatment ซึ่งมีไนโตรเจนปะปน เพชรธรรมชาติที่ผ่านการ Treatment ด้วย HPHT+ฉายรังสี+การเผา จะผ่านการฉายรังสีเพิ่มเติมมักจะเปลี่ยนจากการเรืองแสงสีเขียวเป็นสีชมพูอีกด้วย
วิธีแยก
- เพชรธรรมชาติ จะเรืองแสงด้วยหลอด LW และ SW เป็นสี ฟ้า เขียว ชมพู
- Pink Lab grown diamond จะเรืองแสงด้วยหลอด LW และ SW เป็นสี ส้ม แดง และมีความเข้มข้นมาก
(สามารถอ่านบทความ วิธีปรับปรุงคุณภาพเพชร(Treatment) ได้ที่ลิ้งนี้)