ประเภทตำหนิในเพชรมีอะไรบ้าง

     สัญลักษณ์ หรือ ตำหนิ ของเพชรนั้นมีมากมาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วตำหนิที่มักพบเห็นบ่อยคือ ไฝดำ ซึ่งมีศัพท์ทางการว่า dark inclusion และ ตำหนิจำพวกรอยแตก ศัพท์ทางการจะเรียกว่า feather แต่ยังมีตำหนิอีกหลายประเภทที่เราควรทราบ ซึ่งบางชนิดนั้นเป็นตำหนิที่มนุษย์ได้ทำขึ้นเพื่อปรับปรุงคุณภาพเพชร โดยในบทความนี้จะอิงจากที่สถาบัน GIA ได้บัญญัติไว้เพื่อความเข้าใจอย่างเป็นสากล ดังนี้

 

1. สัญลักษณ์การอธิบายตำหนิเพชรในใบเซอร์ GIA

crystal inclution

CRYSTAL INCLUSION

dark-inclution

DARK INCLUSION

clevage

CLEVAGE OR FEATHER

bearded

BEARDED

cloud

CLOUD

laser-drilling

LASER DRILLING

pinpoint

PINPOINT

 

2. ความหมาย

 

2.1 Crystals

     คือผลึกแร่ธาตุต่างๆที่เจือปนอยู่ในเม็ดเพชร ซึ่งอาจเป็นแร่ใดก็ได้มากกว่า 24 ชนิด แต่ส่วนใหญ่ที่พบเจอมักเป็นแร่เพชร โดยหากเป็นตำหนิจุดขนาดเล็ก จะเรียกว่า Pinpoints โดย Crystals นี้หากมีขนาดใหญ่จะไปบดบังการหักเหแสงและความสวยงามของเพชรได้

     ก้อนผลึกของแร่ธาตุหรืออัญมณีที่ตกผลึกภายในเนื้อของเพชร มีรูปร่างได้หลากหลาย สีที่พบได้บ่อยคือ สีขาว และ ดำ และสีอื่นๆสามารถพบได้เช่นกันแต่ไม่บ่อยนัก พบว่ามีแร่ธาตุที่ตกผลึกในเพชรได้ถึง 24 ชนิด แต่ผลึกเพชรยังคงพบเจอได้บ่อยที่สุด ซึ่งผลึกเพชรจะมีรูปร่างเหมือนก้อนเพชรดิบที่ยังไม่ได้เจียระไนส่วนใหญ่พบว่าเป็นรูปปิระมิดฐานประกบ

 

2.2 Clevage or Feather

     หมายถึง แนวรอยแตก ส่วนใหญ่มีลักษณะการแตกเป็นแนวตรงและแบน มักมีลักษณะเป็นริ้วๆสีขาวขุ่น สถาบัน GIA มักใช้คำว่า feather แนวรอยแตกนี้จะบดบังการหักเหแสงของเพชร ให้มีประกาย หรือ การกระจายแสงที่น้อยลงได้ ในจุดที่เกิดตำหนิ

 

2.3 Bearded

     คือตำหนิในส่วนของ girdle ซึ่งเกิดจากขั้นตอนการเจียระไน โดยปกติเรามักไม่ให้ความสำคัญต่อส่วนนี้เท่าใดนัก เนื่องจากส่งผลต่อความสวยงามของอัญมณีน้อย 

     หมายถึง ขุยรอยแตกบริเวณขอบ girdle มักเป็นคล้ายเส้นขนตามขอบ girdle ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ได้ความสำคัญมากเนื่องจาก ส่งผลกระทบต่อความสวยงาม หรือ ประกายของเพชรเล็กน้อย และเมื่ออัญมณีถูกฝังลงตัวเรือนส่วนใหญ่แล้วจะสังเกตุบริเวณนี้ได้ยาก

 

2.4 Clouds

     คือกลุ่มของตำหนิคล้าย เมฆหมอก เกิดจากตำหนิขนาดเล็กเกาะกลุ่มกันจำนวนมาก หากcloudsมีจำนวนมาก จะส่งผลต่อความโปร่งใสของเพชรได้

     กลุ่มเมฆหมอกหรือ milky หมายถึง กลุ่มของตำหนิในเนื้อเพชรที่เล็กกว่า pinpoint มีการเกาะกลุ่มรวมตัวกัน จนมองดูแล้วคล้ายก้อนเมฆ ที่แม้จะทำให้เพชรดูขาวขึ้น แต่บดบังประกายและความสวยงามเป็นอย่างมาก 

 

2.5 Laser Drill Holes

     หมายถึง ตำหนิที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ โดยใช้เครื่องยิงเลเซอร์เจาะผ่านผิวเนื้อ เพื่อทำลายหรือลดขนาดตำหนิใดๆ จะมีเส้นตรงเป็นแนวยาวระหว่างผิวถึงจุดที่ยิงตำหนิใส่ จากนั้นอุดด้วยวัสดุที่มีค่าหักเหแสงใกล้เคียงเพชรเพื่อให้สังเกตุได้ยาก ในปัจจุบันรอยเส้นมีขนาดเล็กมากจนสังเกตุได้ยากจากเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น

     หมายเหตุ : ในส่วนของการเลเซอร์เลขรหัสขอบเพชรที่มาพร้อมกับใบรับรองจากสถาบันนั้น แทบไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับความสวยงามใดๆของเพชร เนื่องจากการตรวจสอบคุณภาพเพชรปกติมักตรวจดูที่กำลังขยาย 10 เท่า ซึ่งการตรวจสอบตัวเลขรหัสเพชร ควรตรวจสอบด้วยกำลังขยาย 25 เท่าจึงจะสามารถอ่านได้ชัดเจน 

 

2.6 PINPOINT

     หมายถึง ผลึกแร่ธาตุหรืออัญมณีที่ตกผลึกเช่นเดียวกับ CYSTAL แต่มีขนาดเล็กมากคล้ายจุดเข็มหมุด แม้ส่องด้วยกล้องขยาย X10 เท่า

 

2.7 Growth Lines

     คือเส้นระลอกคลื่นที่เกิดจากการตกผลึกที่ผิดปกติ โดยปกติแล้วเส้นแนวการเติบโตนี้มีผลต่อเพชรค่อนข้างน้อย แต่หากมีมากอาจส่งผลต่อความโปร่งใสและแวววาวของเพชรได้

     หมายถึง เส้นระรอกคลื่นที่เกิดจากการเติบโตหรือตกผลึกอย่างไม่สม่ำเสมอของเพชร หากมีความเจียจางอาจไม่ส่งผลถึงคุณภาพ แต่หากระรอกมีความเข้มก็ส่งผลต่อความสะอาดของเพชรได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสามารถสังเกตเห็นได้ยาก และสามารถสังเกตุได้ในบางมุมเท่านั้น

 

2.8 Color Zoning

     คือลักษณะการกระจายสีที่ไม่สม่ำเสมอ โดยปกติแล้วมักพบในเพชรที่เกิดจากกระบวนการ HPHT

(สามารถอ่านบทความ วิธีดูเพชรที่เหลี่ยมสวยไฟดี ได้ที่ลิ้งนี้)

 

ตำหนิ-เพชร-คริสตัส-ไฝดำ-รอยแตก-มิลกี้

เลือกชมเพชร CVD (Lab Grown Diamond) และ เครื่องประดับของเราได้ที่นี่

ผู้เขียนบทความ

ขออภัย! ไม่สามารถคัดลอกข้อความได้