สารบัญเนื้อหา
วิธีการปรับปรุงคุณภาพเพชร Treatment Diamond
1. เกี่ยวกับเพชรที่ปรับปรุงคุณภาพ
เพชรส่วนใหญ่ไม่ผ่านการทรีทเม้นท์ อย่างไรก็ตามนั่นอาจเป็นเพียงอดีตไปแล้ว เพราะปัจจุบันเพชรอาจผ่านการทรีทเม้นท์ได้หลายวิธี เช่น การอุดรอยร้าว การเจาะทำลายตำหนิด้วยเลเซอร์ การเคลือบเพชร การฉายรังสี การให้ความร้อน เพื่อปรับปรุงความสะอาด สี ความโปร่งใส ส่งผลให้เพิ่มมูลค่าในเชิงการค้า
เพชรแฟนซีที่ได้สีจากการฉายรังสีหรือการทรีทเม้นท์ HPHT นั้นมีราคาน้อยกว่าเพชรสีแฟนซีตามธรรมชาติหลายเท่าตัว ตัวอย่างเช่น เพชรสีเขียวแฟนซีหนึ่งกะรัตที่มีความคมชัด VS อาจมีราคาขายปลีกประมาณ 5,000 ดอลลาร์/กะรัต หากเพชรเม็ดเดียวกันนั้นเป็นสีธรรมชาติ มันอาจจะขายได้มากกว่า $200,000/ct เพราะเพชรสีเขียวธรรมชาตินั้นหาได้ยาก โดยในเดือนพฤษภาคม 2559 เพชรสีเขียวสดใส VS2 ขนาด 5.03 กะรัต “ออโรรากรีน” ถูกประมูลโดย Christie’s ในราคา 16.8 ล้านดอลลาร์ หรือ 3.3 ล้านต่อกะรัต
เพชรสีเขียวที่ผ่านการทรีทเม้นท์นั้นหาได้ง่ายกว่ามากและมักผลิตจากเพชรราคาถูกที่มีสีน้ำตาลหรือสีต่ำกว่า L ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อเพชรด้วยความตั้งใจที่จะเก็งกำไรในภายหลัง หากนี่คือความตั้งใจหลักก็ควรซื้อเพชรสีแฟนซีจากธรรมชาติเท่านั้น เพชรที่ไม่ผ่านการทรีทเม้นท์มักเป็นที่ต้องการและสามารถขายต่อได้ในตลาดทุกประเภท
เนื่องด้วยเพชรเป็นอัญมณีที่มีราคาสูง การปรับแต่งสี ความสะอาด ทำให้อัญมณีที่คุณภาพต่ำสามารถจำหน่ายได้ง่าย และได้ราคาดีมากยิ่งขึ้น หรือบางครั้งอาจถูกมิจฉาชีพนำมาขายในราคาสูงเกินจริง ดังนั้นเราควรจะทราบการปรับปรุงคุณภาพเพื่อมิให้ถูกหลอก และตัดสินใจซื้อเครื่องประดับได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันการปรุงปรุงคุณภาพพัฒนาขึ้นมาก และ ยังคงมีการคิดค้นวิธีปรับปรุงยิ่งขึ้นไปอีก เราจึงต้องทราบวิธีตรวจสอบใหม่ๆอยู่อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
2. ประเภทการปรับปรุงคุณภาพเพชร
2.1 การอบเพชร (HPHT-NATURAL DIAMOND)
เป็นการให้ความร้อนและแรงกดแก่เพชรเพื่อให้มีการเปลี่ยนสี กรณีเพชรเป็น TYPE IIA จะเปลี่ยนสีจากน้ำตาลเป็นขาว กรณีเพชรเป็น TYPE I จะเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็น เหลือง เหลืองอ่อน เหลืองอมเขียว หรืออาจะเป็นจาก เหลืองอ่อน เป็น เหลืองเข้ม เหลืองอมน้ำตาลได้
2.2 การอาบรังสี (IRRADIATION)
กระบวนการนี้เริ่มต้นขึ้นที่ SIR WILLIAM CROOKES ได้ทดลองนำ ธาตุเรเดียม ซึ่งเป็นธาตุรังสี เปลี่ยนสีเพชรให้มีสีเขียวได้ เป็นการใช้รังสีส่องผ่านเพชรในรูปแบบอนุภาคคลื่นไฟฟ้าเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของผลึกภายใน ที่อุณภูมิ 500 องศาขึ้นไป จะไปเปลี่ยนแปลงการจัดเรียงตัวของไนโตรเจนที่แทรกอยู่ระหว่างผลึกคาร์บอนให้จัดเรียงตัวใหม่ มีความคงทนถาวร เมื่อเปลี่ยนแล้วจะเปลี่ยนคงอยู่ไปตลอด สีมีความสม่ำเสมอทั่วทั้งอัญมณี ในยุคเริ่มแรกยังมีรังสีตกค้างอยู่มากและอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้ แต่จากการควบคุมของรัฐบาลให้กำหนดระดับการใช้รังสีในปริมาณที่กำหนดแล้วในปัจจุบันยังไม่พบอันตรายจากการใช้งานใดๆ สามารถตรวจสอบจากแรงกดอัดของเพชรที่ถูกกดระหว่างกระบวนการ มักมีเส้น STRAIN ใน TYPE LLA บริเวณ culet มีปรากฏการณ์ umbrella effect การเพิ่มอิเล็กตรอน จะเข้าไปเปลี่ยนจากเพชรสีขาวเป็นสีเขียวอ่อน เพิ่มนิวตรอน จะเปลี่ยนจากเพชรสีขาวเป็นสีเขียวสด ปัจจุบันสามารถผลิตได้ทั้ง สีเขียว น้ำเงิน เหลือง น้ำตาล ชมพู แดง
2.3 การอุดรอยแตก (FRACTURE FILLING)
เป็นกระบวนการอุดตำหนิหรือรอยแตกบริเวณผิวเพชรเพื่อให้มีความเรียบเนียน โดยใช้สารที่มีค่าดัชนีหักเหแสงใกล้เคียงกับเพชร เช่น แก้วตะกั่ว (PB) กระทำโดยการบรรจุเพชรลงในภาชนะ แล้วดูดอากาศออกให้เป็นศูนย์อากาศ จากนั้นใส่แก้วตะกั่วบนผิวเพชร แล้วปล่อยอากาศกลับเข้าไปเพื่อให้แก้วตะกั่ววิ่งไปอุดตามรอยแตก เพื่อลดรอยตำหนิให้มองเห็นได้ยากขึ้น
2.4 การเคลือบสี (COATING)
เป็นการเคลือบที่ผิวเพชรฝัง PAVILION ด้วยแผ่นฟิล์มบางๆด้วยธาตุโลหะ เกิดเป็นเหลือบสีต่างๆขึ้นมาได้ ความคงทนน้อย ถูกขีดข่วนให้หลุดลอกได้ง่าย โดยเราสามารถสังเกตุบริเวณสันเหลี่ยมที่มักหลุดจะลอกได้ก่อนบริเวณอื่น และ สีมีความเด่นชัดจนสังเกตเห็นได้ง่าย
2.5 การยิงด้วยเลเซอร์ (LASER DRILLING)
เป็นกระบวนการยิงลำแสงเลเซอร์ขนาดเล็กเข้าไปเพื่อใช้ความร้อนเผาทำลายตำหนิในเนื้อเพชร ซึ่งหากไม่ใหญ่มากอาจสามารถยิงตำหนิออกได้หมด แต่หากคงเหลืออาจต้องกัดด้วยน้ำกรดอีกหนึ่งขั้นตอน จากนั้นใช้สารอุดรอยแตกเพื่อปิดปากแผล แต่จะมีร่องรอยตำหนิจากผิวเพชรไปจนถึงจุดที่ลำแสงยิงเป็นทางยาว
3. ควรเลือกแบบไหน?
หากลูกค้าซื้อเพชรเพื่อใช้เป็นแหวนในชีวิตประจำวัน เพชรที่ไม่ผ่านการทรีทเม้นท์มีแนวโน้มที่จะทนทานและทนต่อการสึกกร่อนได้ดีกว่าเพชรที่มีรอยแตกร้าวหรือเพชรที่ผ่านการทรีทเม้นท์ กระบวนการผลิตด้วยความร้อนที่อุณหภูมิสูงทำให้เพชรทรีทเม้นท์บางชนิดเปราะบางมากขึ้นและไวต่อการบิ่นและการสึกกร่อน เรายังไม่รู้ว่ามันมีผลอย่างไรต่อความทนทานของเพชร ในทำนองเดียวกัน คุณไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเพชรที่เดิมมีรอยแตกจะทนทานต่อการกระแทกหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เพชรจะต้องมีการถูกกระทบกระทั่งเมื่อใส่ในแหวนประจำวัน นอกจากนี้ ความร้อนระหว่างกระบวนการผลิตเพชรลงบนตัวเรือนและการทำความสะอาดด้วยอัลตราโซนิกเป็นเวลานานหรือซ้ำๆ อาจทำให้สิ่งที่อุดเพชรอยู่เสียหายได้ เพชรที่มีรอยแตกและรอยแยกขนาดใหญ่ จะไม่คงทนเท่ากับเพชรที่ปกติไม่มีตำหนิ แต่ในข้อได้เปรียบหลักประการหนึ่งของการซื้อเพชรแทนพลอยอื่นๆ คือ เพชรยังคงมีความทนทานต่อการเสียดสีและความเสียหายมากกว่าพลอยชนิดอื่นๆอยู่มาก
ข้อดีคือ เพชรที่ผ่านการทรีทเม้นท์เป็นตัวเลือกที่มีราคาย่อมเยากว่ามากเมื่อเทียบกับเพชรที่ไม่ผ่านการทรีทเม้นท์ เนื่องด้วยคุณจะได้เพชรที่ขนาดเม็ดใหญ่ขึ้น สวยขึ้น สะอาดขึ้น มากกว่าหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับเพชรตามธรรมชาติ
4. ข้อแนะนำก่อนเลือกซื้อ
การอุดรอยร้าว การเจาะด้วยเลเซอร์ และการเคลือบเพชร ส่วนใหญ่สามารถตรวจจับได้โดยนักอัญมณีที่มีความชำนาญ แต่การตรวจจับการฉายรังสีและการอบชุบด้วยความร้อนที่อุณหภูมิสูงโดยปกติแล้วต้องใช้ความชำนาญพิเศษและอุปกรณ์ที่ทันสมัยของห้องปฏิบัติการที่มีเครื่องมือครบครัน ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เหตุผลสำคัญในการซื้อเพชรพร้อมกับใบเซอร์สถาบันคือเพื่อตรวจสอบว่าเพชรนั้นไม่ผ่านการทรีทเม้นท์ ห้องปฏิบัติการส่วนใหญ่สามารถระบุเพชรที่ผ่านการทรีทเม้นท์ได้ (สามารถอ่านบทความ สถาบันตรวจสอบเพชร ได้ที่ลิ้งนี้)